รวม “รายการพันแสงรุ้ง ตอน ชาวอาข่า”
รายการพันแสงรุ้ง ตอน ชาวอาข่า
เรื่องราวของชาวอาข่า “ชนเผ่าพื้นเมืองอาข่า” ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
ไม่มี “มิดะ” ไม่มี “กะลาล่าเซอ” ไม่มี “ลานสาวกอด”
บางคนย้อนถามว่า ช่วงที่่เพลง
“มิดะ” ดังใหม่ๆ
ทำไมจึงไม่มีชาวอาข่าหรือนักเรียนนักมนุษยชนหน้าไหนลุกขึ้นมาประท้วง
ไยจึงปล่อยให้บทเพลงนี้มีอิทธิพลต่อการรับรู้ในสังคมไทยอยู่นาน
คำตอบก็คือ เพราะชาวอาข่ายุคสามสิบปีก่อน มีข้อจำกัดในการฟังภาษาไทย เมื่อมีคนมาสอบถามว่าที่นั่นมี “มิดะ” จริงหรือ ก็พยักพเยิดหน้า เนื่องจากฟังคล้ายๆกับคำว่า “หมี่ดะ” ด้วยความบริสุทิธิ์ใจจริงๆ ที่ไม่รู้ว่า “มิดะ” ในมุมมองของคนนอกนั้นหมายถึงอะไร
ในภาษาอาข่าไม่มี “มิดะ” มีแต่คำว่า “หมี่ดะ” หมายถึง หญิงสาวในวัยพร้อมจะมีครอบครัว คือชาวอาข่าแบ่งชื่อเรียกผู้หญิงตามช่วงวัยทั้ง 4
ทารกแรกเกิดถึง 12 ขวบ เรียกว่า “อะบู้ยะ”
โตเป็นสาวแรกรุ่นอายุ 13-17 ปี เรียกว่า “หมี่เดอเดอจ๊อง”
โดยกำหนดให้ใส่หมวกลักษณะหนึ่ง ครั้นอายุ 18-24 ปี เรียกว่า “หมี่ดะ” คือ
พร้อมที่จะแต่งงาน ต้องใส่เครื่องประดับเต็มยศมีขนไก่ หลังจากอายุ 24
ปีขึ้นไป เรียกว่า “หมี่เด๊ะ” คือเป็นแม่เหย้าแม่เรือนแล้ว
ไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่เบื้องหลังคำว่า “หมี่ดะ” ก็เป็นแค่หญิงสาวในวัยหนึ่ง
ส่วน “กะลาล่าเซอ” ที่บุญช่วยให้คำจำกัดความว่า หมายถึง “ลานสาวกอด” หรือ “ลานรักลานสวรรค์”
จนเรามองเห็นภาพหญิงสาวนั่งชิงช้าเย้ายวนรอให้ชายหนุ่มมาเล้าโลม
หากชายหนุ่มเลือกกอดหญิงสาวคนใดแล้ว ฝ่ายหญิงมีใจปฏิพัทธ์ก็จะกอดตอบ
เป็นอันว่าต่างคนต่างเจอเนื้อคู่ที่ถูกใจ แต่หากกอดแล้วถูกหญิงสาวผลักไส
ก็แสดงว่าหล่อนไม่เล่นด้วย เมื่อหน้าแตกก็ต้องไปไล่กอดสาวคนใหม่อีก
นั่นคือภาพ “ลานสาวกอด” ที่บุญช่วยพรรณาไว้ แต่แท้จริงแล้วไม่มี “กะลาล่าเซอ” ไม่มี “ลานสาวกอด” ในบริบททางวัฒนธรรมของอาข่า
ภาษาอาข่ามีแต่คำว่า “กะล้าหละเฉ่อ”
โดยแยกเป็นสองคำ “กะล้า” คือคำเรียกคนฝรั่งหรือคนแขกแปลกหน้า ทำนองแขกกุลา
ส่วน “หล่ะเฉ่อ” คือ “ชิงช้า” ซึ่งชาวอาข่าตั้งชิงช้าสูงไว้ที่ลานกว้าง ลานนี้เรียกว่า “แดข่อง” หรือ “แตห่อง”
เพื่อรองรับประเพณีโล้ชิงช้า มีขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปี
เป็นพิธีเฉลิมฉลองความอุดมสมบูรณ์ของผลิตผลพืชไร่ แต่ยามที่ไม่มีพิธีใดๆ
คนทั่วไปก็สามารถมานั่งเล่นชิงช้านั้นได้
และชิงช้านี้มักเป็นที่นิยมของหญิงสาววัย “หมี่ดะ” ที่ชอบมาพบปะพูดคุยกัน
เพราะฉะนั้น กะล้าหละเฉ่อ
หากแปลตรงตัวจึงหมายถึง ชิงช้าฝรั่ง ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเหมือนชิงช้าสวรรค์
ชิงช้าหมุน เพื่อความบันเทิงสนุกสนาน
ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับลานวัฒนธรรมและประเพณีโล้ชิงช้าของชาวอาข่าเลย
การพบปะกันที่ลานกว้างนั้น
เป็นไปในลักษณะคล้ายลานวัฒนธรรม ลานที่ทุกคนมารวมตัวกัน
คราวที่ต้องทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในวงวัฏ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ฝังศพ แต่งงาน
หรือใช้เป็นลานเล่านิทาน สุภาษิต แม่สอนลูก ปูสอนหลาน
ไม่ใช่ลานสำหรับกอดสาว หรือ ลานของหญิงหม้ายเจ้าเสน่ห์มาสาธยายชั้นเชิงกามรสแบบประเจิดประเจ้อ!
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1621 หน้าที่ 75-76
ระหว่างศิวิไลซ์ กับป่าเถื่อน คำประกาศจากเyจ้าของวัฒนธรรม
นักมานุษยวิทยารุ่นใหม่หลายคนยังคงคลาง
แคลนใจ จึงตั้งสมมติฐานว่า หากแม้น “มิดะ” หรือ “กะลาล่าเซอ”
มีอยู่จริงในสังคมชาวอาข่า ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องเสียหาย
หรือสะท้อนภาพความป่าเถื่อนแต่อย่างใดไม่
ในมุมกลับกัน สังคมใดก็ตามที่มีการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้ลองถูกลองผิด
เรียนรู้จักกันด้วยตัวเองก่อนแต่งงาน
อาจมีการถูกเนื้อต้องตัวสัมผัสรัดกอดกันบ้าง
ก็ย่อมน่าจะศิวิไลซ์กว่าสังคมที่ลูกสาวต้องยอมจำนนต่อการที่บุพการีเลือกคู่
ครองให้ในลักษณะคลุมถุงชนแต่ขอประทานโทษ ชาวอาข่าหาได้ยินดีกับคำยกย่องในมิติที่เห็นว่า พวกเขาเป็นสังคมที่เปิดกว้างเสรีภาพทางเพศตามแนวคิดแบบปรัชญาตะวันตกไม่
พวกเขายังคงยืนยันว่า ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติของชาวอาข่าที่สืบทอดกันมานานกว่า 33 ชั่วอายุคน ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องอาข่าที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินผืนใด ทั้งในประเทศไทย จีน ลาว พม่า เนปาล หรือไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ชาวอาข่าไม่เคยมีเรื่องมิดะอยู่จริง
และมิใช่ว่าเคยมีอยู่จริงในยุคที่บุญช่วยไปเก็บข้อมูลเมื่อเกือบ 70 ปีก่อน
แต่แล้วแอบยกเลิกไปเพราะความหวั่นไหวอับอายต่อคำครหานินทาของคนชาติพันธุ์
อื่น แล้วเพิ่งมาออกตัวแ้ก้เก้อ
ในเมื่อมันไม่เคยมีอยู่จริง
ก็ต้องยืนกรานประกาศให้เสียงดังก้องโลก ว่าโปรดหยุดทำร้าย “หมี่ดะ”
หญิงสาวพรหมจรรย์ผู้บริสุทธิ์ ด้วยภาพลักษณ์ของ “มิดะ”
ฉะนั้น เมื่อเราอ่านหนังสือเรื่อง “30 ชาิติในเชียงราย” ของบุญช่วย
ศรีสวัสดิ์ แล้วพบเรื่องราว “มิดะ” โปรดพึงทำใจไว้ว่า เรากำลังอ่านนิทาน
หรือยามที่เรากำลังเสพงานคีตศิลป์ชิ้นเยี่ยมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการคงไม่ต้องถึงกับปฏิบัติการไล่ล่า “ภารกิจปิดฝังมิดะ” ตามเก็บกวาดล้างเทปซีดีเพลงมาเผาทำลาย หรือจะต้องขอถอนรายชื่อหนังสือ “30 ชาติในเชียงราย” ออกจากหนังสือหนื่งในร้อยเล่มที่คนไทยต้องอ่านหรอก
มองมุมกลับกัน ทั้ง บุญช่วย ศรีสวัสดิ์
และจริญ มโนเพ็ชร
ทั้งสองคือผู้จุดสะกิดสะเกาบาดแผลให้นักมนุษยวิทยาต้องลุกขึ้นมาเต้นผาง
ทบทวนองค์ความรู้ทางวิชาการด้านชาติพันธุ์วรรณาที่เราเคยทระนงตนว่า
“ชาวเรารู้จักชาวเขา” แล้วเป็นอย่างดี ว่า
คำพูดนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยเพียงไหน
เชื่อว่าคงไม่ใช่เผ่่าอาข่าเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ถูกกระทำ
นี่ยังไม่รวมถึงความคิดของชนชั้นกลางชาวกรุงที่ภักดีต่อสถาบันและพรรค อนุรักษ์ขวาตกขอบ ที่ดาหน้ากันออกมาประณามคนบ้านนอกคอกตื้อแถบภาคเหนือ ภาคอีสานว่า เป็นลาวโง่จนเจ็บ ถูกหลอกซื้อเสียงช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา
นี่ยังไม่รวมถึงความคิดของชนชั้นกลางชาวกรุงที่ภักดีต่อสถาบันและพรรค อนุรักษ์ขวาตกขอบ ที่ดาหน้ากันออกมาประณามคนบ้านนอกคอกตื้อแถบภาคเหนือ ภาคอีสานว่า เป็นลาวโง่จนเจ็บ ถูกหลอกซื้อเสียงช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ช่องว่างระหว่าง อคติ นิทาน
กับข้อเท็จจริง
ที่ผู้ดีในสังคมไทยฝากบาดแผลร้าวลึกไว้กับคนชายขอบทุกชาติพันธุ์
ถูกหมักหมมมานานหลายศตวรรษ
ถึงเวลาที่ความคลี่คลายปมปัญหาอย่างเป็นองคาพยพแล้วหรือยัง โดยใช้กรณี
“มิดะ” “กะลาล่าเซอ” เป็นภารกิจนำร่องอย่างด่วนๆ
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1621 หน้า 76คือ “มิดะ” ในจินตนาการกับนิทาน “ลานสาวกอด”
ในยุคที่บุญช่วยต้้องดั้นด้นไปสืบค้นข้อมูลบนดอยสูงนั้น
เขาปุเลงปุเลงไปตัวคนเดียวแบบไม่มีล่าม จะว่าไปแล้ว การสื่อสารกันคนละภาษา
น่าจะเป็นข้อจำกัดอย่างยิ่งยวดในการทำงานของนักเขียนวสารคดีรุ่นเ่ก่า
หนังสือที่จะใช้อ้างอิงแต่ละเล่มก็ช่างจำกัดจำเขี่ยเหลือทน เพราะเขาเป็นคนพื้นราบรายแรกๆที่อาจหาญชาญชัยบุกเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับคน หลากเชื้อชาติหลายภาษามากถึง 30 ชนเผ่า ข้อมูลบางส่วนนั้นเขาต้องอาศัยการแปลมาจากหนังสือของนักมานุษยวิทยาชาวตะวัน ตก
งานเขียนของบุญช่วยจังไม่ใช่ข้อเท็จจริงแบบงานวิจัยเชิงวิชาการเต็มร้อย แต่มันน่าจะมีคุณค่าฐานะ “สารคดีเรื่องเล่า” ที่ช่วยเปิดโลกแห่งการรับรู้เรื่องชนกลุ่มน้อยในสยามให้แก่ผู้สนใจพอเป็นปฐม บท
ทว่า ณ วันนี้ เยาวชนอาข่ามีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงขึ้น หลายคนจบปริญญาเอกปริญญาโท พรมแดนที่เคยขีดเส้นแบ่งให้พวกเขาต้องกลายเป็นตัวประหลาด ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ถูกคนพื้นราบกระแหนะกระแหนว่า “อีก้อกินเนื้อหมา” หรือ “นี่ไงมิดะมั่วเซ็กซ์” ย่อมต้องได้รับการทบทวนข้อบิดเบือนนั้นอย่างเป็นกระบวนการ
หมายเหตุ ผมยกมาแค่ช่วงหนึ่งของบทความ จะพยายามลงให้ครบ (ยาวถึง 2 หน้าหนังสือพิมพ์)
หนังสือที่จะใช้อ้างอิงแต่ละเล่มก็ช่างจำกัดจำเขี่ยเหลือทน เพราะเขาเป็นคนพื้นราบรายแรกๆที่อาจหาญชาญชัยบุกเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับคน หลากเชื้อชาติหลายภาษามากถึง 30 ชนเผ่า ข้อมูลบางส่วนนั้นเขาต้องอาศัยการแปลมาจากหนังสือของนักมานุษยวิทยาชาวตะวัน ตก
งานเขียนของบุญช่วยจังไม่ใช่ข้อเท็จจริงแบบงานวิจัยเชิงวิชาการเต็มร้อย แต่มันน่าจะมีคุณค่าฐานะ “สารคดีเรื่องเล่า” ที่ช่วยเปิดโลกแห่งการรับรู้เรื่องชนกลุ่มน้อยในสยามให้แก่ผู้สนใจพอเป็นปฐม บท
ทว่า ณ วันนี้ เยาวชนอาข่ามีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงขึ้น หลายคนจบปริญญาเอกปริญญาโท พรมแดนที่เคยขีดเส้นแบ่งให้พวกเขาต้องกลายเป็นตัวประหลาด ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ถูกคนพื้นราบกระแหนะกระแหนว่า “อีก้อกินเนื้อหมา” หรือ “นี่ไงมิดะมั่วเซ็กซ์” ย่อมต้องได้รับการทบทวนข้อบิดเบือนนั้นอย่างเป็นกระบวนการ
สตรีอาข่าวันนี้จักไม่ยอมจำนนต่อภาพนางบาปเหมือนดังอดีตอีกต่อไป
ข้อมูล บทความส่วนหนึ่ง จาก หนังสือพิมพ์มติชน สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1621 ประจำวันที่ 9-15 กย.54 โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์หมายเหตุ ผมยกมาแค่ช่วงหนึ่งของบทความ จะพยายามลงให้ครบ (ยาวถึง 2 หน้าหนังสือพิมพ์)
No comments:
Post a Comment